ข้อสอบปลายภาค
คำสั่งข้อสอบมีทั้งหมด 7 ข้อ
ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ห้ามลอกกันเขียนคำตอบโดยใช้สำนวนเหมือนกันถือว่ามิใช่ความคิดของนักศึกษาเอง
ปรับให้ตกทั้งคู่ ข้อละ 10 คะแนน
1.
กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษา มีที่มาความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
อธิบายพร้อมทั้ง ยกตัวอย่างประกอบอย่างย่อ
ๆ ให้ได้ใจความพอเข้าใจ
ตอบ คำว่าที่มาของกฎหมาย
นักกฎหมายหลายท่านให้ความหมายไว้แตกต่างกัน บางท่านหมายถึงแหล่งที่มาหรือบ่อเกิดของกฎหมาย
บางท่านหมายความถึงแหล่งที่จะค้นพบกฎหมาย
หรือบางท่านอาจหมายความถึงศาลหรือผู้ที่จะนำกฎหมายไปปรับใช้กับคดีที่เกิดขึ้น
ถึงแม้ว่านักกฎหมายจะมีความเห็นแตกต่างกันออกไป
แต่ที่มาของกฎหมายโดยทั่วไปแล้วมีความใกล้เคียงกัน โดยพิจารณาถึงที่มาของกฎหมายหลักสองระบบคือ
ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร และระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษาจึงมีที่มาและมีความเหมือนกันคือ
ทั้งสองเป็นระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร และระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น การชกมวยบนเวที
ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกติกา
ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ไม่มีความผิดนั่น
แต่หากไม่ทำตามกติกาอาจจะพกอาวุธต่างๆในการชกมวย และทำให้คู่ต่อสู้เสียชีวิต
นั่นถือว่าผิด ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย และการที่คุณครูว่ากล่าวตักเตือนนักเรียน
ซึ่งเป็นการอบรมสั่งสอน และใช้วาจากริยาท่าทางที่สุภาพ ไม่พูดคำหยาบ
หรือไม่ทำให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งอาจทำให้นักเรียนไม่พอใจ
นั่นถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าหากมีคุณครูคนหนึ่งตีนักเรียนจนเลือดออกหรือได้รับบาดเจ็บ
นั่นถือว่าผิด และได้รับโทษตามกฎหมายต่อไป
2.
รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา มีสาระหลักที่สำคัญอย่างไร
ในประเด็นอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับ
การศึกษา ยกตัวอย่างประกอบ พอเข้าใจ
(รัฐธรรมนูญตั้งแต่แต่ฉบับแรกถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2550)
ตอบ
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2540
ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา มีมาตราที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยตรง
2 มาตรา คือ
มาตรา 43
บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาอบรมของรัฐต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน
ทั้งนี้ ตามที่ กฎหมายบัญญัติ
การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพและเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ
ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
มาตรา 81 รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุน
ให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม
จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ
ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้อง กับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
สร้างเสริมความรู้ และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปวิทยาการต่าง ๆ เร่งรัดพัฒนา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ
จะเห็นได้ว่า
มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ฉบับเดียวที่ระบุให้มีกฏหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ(มาตรา 81) ซึ่งมีผลทำให้เกิด พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และกฏหมายการศึกษาอื่นอีกหลายฉบับ
ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ของการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญของเมืองไทยยุคหนึ่ง
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2550
ก็มีสาระที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ระบุเอาไว้ส่วนที่ 8 สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา มี 2 มาตรา คือ
มาตรา 49
บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น
การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือเอกชน การศึกษาทางเลือกของประชาชน
การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับการคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากรัฐ
มาตรา50 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ การศึกษาอบรม
การเรียนการสอน การวิจัย
และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการย่อมได้รับการคุ้มครอง ทั้งนี้
เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
นอกจากนี้ยังมีสาระที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแทรกอยู่ในส่วนต่างๆอีกหลายส่วน
3.
พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ มีกี่มาตรา และมีความสำคัญอย่างไร
และประเด็นหรือมาตราใดที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและต้องยึดถือปฏิบัติ
ตอบ พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับมีทั้งหมด 20 มาตรา และมีความสำคัญพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม
มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และประเด็นและมาตราที่ผู้ปกครองต้องปฎิบัติและยึดถือปฎิบัติ คือ
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ “ผู้ปกครอง” หมายความว่า บิดามารดา
หรือบิดา หรือมารดา
ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และหมายความรวมถึงบุคคลที่เด็กอยู่ด้วยเป็นประจำหรือที่เด็กอยู่รับใช้การงาน
มาตรา 5 ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
ประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา
และการจัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อระหว่างสถานศึกษาที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับโดยให้ปิดประกาศไว้ ณ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และสถานศึกษา
รวมทั้งต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ปกครองของเด็กทราบก่อนเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
มาตรา 6 ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาเมื่อผู้ปกครองร้องขอ ให้สถานศึกษามีอำนาจผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
มาตรา 11 ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้ปกครอง มีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วย ต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่เด็กมาอาศัยอยู่ เว้นแต่ผู้ปกครองได้อาศัยอยู่ด้วยกับผู้นั้น
การแจ้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา 13 ผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 6
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
4.
ท่านเข้าใจว่า
หากมีใครเข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น สามารถมาปฏิบัติการสอนได้หรือไม่
ถ้าไม่ได้มีความผิดหรือบทกำหนดโทษอย่างไร
ถ้าได้จะต้องกระทำอย่างไรมิให้ผิด ตามพระราชบัญญัตินี้
ตอบ
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
หากมีใครเข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น สามารถมาปฏิบัติการสอนได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคุรุสภา
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๔๖ กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดแสดงด้วยวิธีใดๆ
ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิ หรือพร้อมจะประกอบวิชาชีพ
โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากคุรุสภา
และห้ามมิให้สถานศึกษารับผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตเข้าประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษา
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคุรุสภา
เนื่องจากเหตุผลและความจำเป็นของสถานศึกษาในการพัฒนาการศึกษา
ซึ่งต้องใช้บุคคลเข้าประกอบวิชาชีพ
เพื่อจัดการเรียนการสอนด้วยเหตุที่ไม่สามารถสรรหาผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเข้ามาดำเนินการสอนได้ คณะกรรมการคุรุสภาในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม
๒๕๕๗ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
มีมติอนุญาตให้บุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาต ดังนี้
คุณสมบัติการพิจารณาอนุญาต
ผู้ที่จะขอเข้าประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ต้องมีคุณสมบัติ
ดังนี้
๑.
มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี
๒.
มีคุณวุฒิตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า
(๒)
มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ที่
ก.ค.ศ.รับรอง ซึ่งกำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครู
และเป็นวุฒิปริญญาในสาขาที่สอดคล้องกับระดับชั้นที่เข้าสอน
ตามที่คุรุสภากำหนด ยกเว้นโรงเรียนในพระราชดำริ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
โรงเรียนโครงการพิเศษต่างๆ ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด
และมีคะแนนเฉลี่ย ๒.๕ ขึ้นไป โรงเรียนถิ่นทุรกันดาร หรือโรงเรียนเสี่ยงภัย
ตามประกาศของทางราชการ
และจัดให้มีการอบรมในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนเบื้องต้นด้วย
๓.
ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๔
แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖
เงื่อนไขการอนุญาต
๑.
สถานศึกษาชี้แจงเหตุผลความจำเป็น หรือความขาดแคลน
ต้องรับบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
๒.
สถานศึกษาจะต้องแนบประกาศการรับสมัครและการสรรหาบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
๓.
สถานศึกษาจะต้องแนบคำสั่งของคณะกรรมการของสถานศึกษาในการคัดเลือกบุคคลเข้าประกอบชาชีพครู
๔.
สถานศึกษาต้องขออนุญาตเป็นการเฉพาะราย ผ่านต้นสังกัด โดยจะต้องปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสืออนุญาตเท่านั้น
ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารสถานศึกษา
๕.
ระยะเวลาการอนุญาตครั้งละไม่เกิน ๒ ปี
และต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต่อไป
๖. หากผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครู
โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ฝ่าฝืนจรรยาบรรณของวิชาชีพ
หรือปฏิบัติการสอนผิดเงื่อนไข หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองตามหลักเกณฑ์
เงื่อนไขการอนุญาต การอนุญาตดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด
มติคณะกรรมการคุรุสภาครั้งที่ ๘/๒๕๕๗ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
และครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๗ วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๗
อนุญาตให้ผู้ประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ขออนุญาตฯ ครั้งที่ ๒ และครั้ง ๓ ได้อีกไม่เกิน ๒ ปี แต่จะต้องพัฒนาตนให้มีคุณสมบัติในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
5.
สมบัติ เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ประพฤติผิดกระทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน
หากเราพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จะต้องทำอย่างไร และมีบทลงโทษอย่างไร
ตอบ จากการที่สมบัติเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่ง
และได้ประพฤติกรทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน หากเราพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 สำหรับข้าพเจ้าการทารุณกรรมในที่นี่หมายถึงการลงโทษนักเรียนของครู
และการลงโทษนักเรียนของครูก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังสำหรับครูทุกท่านในการลงโทษนักเรียนในระหว่างการเรียนการสอน
ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 ห้ามมิให้ลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือกลั่นแกล้ง
หรือด้วยความโกรธหรือความพยาบาท
โดยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด
และกลับประพฤติตนในทางที่ดีต่อไป ซึ่งระเบียบนี้ กำหนดการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาไว้
๔ สถาน ดังนี้
(๑) ว่ากล่าวตักเตือน
(๒) ทำทัณฑ์บน
(๓) ตัดคะแนนความประพฤติ
(๔) ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
แต่ยังมีเรื่องร้องเรียนครูลงโทษด้วยวิธีรุนแรง เช่น ตบหน้า ตบหัว
เอาสันไม้บรรทัดตีหัว หยิก ใช้ไม้ตีขา น่อง ก้น อย่างรุนแรงจนเกิดรอยบวมช้ำเลือด
เอารองเท้าครูตบหน้า หรือใช้มือชกไปที่ท้องของนักเรียน
หรือสั่งลงโทษโดยให้วิ่งรอบสนามกลางแดดหลายรอบ จนเด็กเป็นลมหมดสติไป เป็นต้น
การการกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวทั้งสิ้น
มีความผิดทางวินัยข้าราชการแล้ว ผิดจรรยาบรรณในวิชาชีพครู
และยังเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาในข้อหาทำร้ายร่างกายและจิตใจผู้อื่นด้วย
น้อยที่สุดคือข้อหาใช้กำลังทำร้ายแรงผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แม้จะเป็นความผิดลหุโทษแต่ก็เป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ไม่อาจยอมความได้
เว้นแต่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาเรื่อง ไม่แจ้งความ ก็จะไม่มีการดำเนินคดีอาญา
แต่ใช่ว่าจะพ้นผิดไปเลย
เพราะการกระทำความผิดอาญามีอายุความจะแจ้งเมื่อไรภายในอายุความก็ได้
หากผิดเลยไปถึงข้อหาทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
อาจโดนลงโทษจำคุกและปรับหนักขึ้น
ซึ่งก็มีครูเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจากกรณีตบหน้าและชกท้องเพียงแต่ศาลปราณีให้รอการลงโทษไว้
ซึ่งหากไม่รอการลงโทษก็จะถูกจำคุกจริง
ผิดวินัยในข้อหากระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
อาจถูกปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ และผู้ปกครองนักเรียนยังมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ด้วย
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้วิธีลงโทษอย่างรุนแรง ควรใช้วิธีอื่น
แต่อย่าปล่อยปละละเลยไม่สนใจนักเรียนเลย โดยอ้างว่าตีก็ไม่ได้หาว่ารุนแรง
ก็ไม่ต้องตีไม่ต้องเตือนและไม่สนใจเด็กนักเรียนคนนั้นเลย
หากครูทำอย่างนี้ก็จะมีความผิดวินัยอีกเช่นเดียวกัน
ถือว่าเป็นการทอดทิ้งหน้าที่ความเป็นครู ไม่ซื่อสัตย์สุจริต
ไม่มีความวิริยะอุตสาหะ ดูแลเอาใจใส่รักษาประโยชน์ของทางราชการ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของครู
ซึ่งครูจะต้องอบรมสั่งสอนให้นักเรียนมีความรู้มีคุณธรรมและสิ่งอื่นที่จำเป็นเพื่อวันหนึ่งจะได้เป็นแกนหลักของประเทศชาติในอนาคตต่อไป
อย่างน้อยที่สุดให้อยู่ได้ในสังคม หรือให้เป็นคนดีในสังคมให้ได้
หรือให้เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
6.
ช่วงที่นักศึกษาไปทดลองสอนที่โรงเรียนเทอม 2
และในเทอมต่อไป นักศึกษาเข้าไปทดลองสอนจริง
นักศึกษาคิดว่าจะนำกฎหมายการศึกษาไปใช้โดยกำหนดคนละ 2
ประเด็นที่คิดว่าจะนำกฎหมาย ไปใช้ได้
พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ ช่วงที่นักศึกษาไปทดลองสอนที่โรงเรียนเทอม 2 และในเทอมต่อไป นักศึกษาเข้าไปทดลองสอนจริง
นักศึกษาคิดว่าจะนำกฎหมายการศึกษาไปใช้โดยกำหนดคนละ 2 ประเด็น ที่คิดว่าจะนำกฎหมาย ไปใช้ได้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
กฎหมายว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงวางระเบียบว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548”
ข้อ 2
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียน
หรือนักศึกษา พ.ศ. 2543
ข้อ 4 ในระเบียบนี้ “
ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา” หมายความว่า
ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ อธิการบดี หรือหัวหน้าของโรงเรียนหรือสถานศึกษา
หรือตำแหน่งที่เรียก ชื่ออย่างอื่นของโรงเรียนหรือสถานศึกษานั้น
“กระทำความผิด” หมายความว่า
การที่นักเรียนหรือนักศึกษาประพฤติฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับของสถานศึกษา
หรือของกระทรวงศึกษาธิการ หรือกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา
“การลงโทษ” หมายความว่า
การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด
โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการอบรมสั่งสอน
ข้อ 5 โทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4 สถานดังนี้
5.1 ว่ากล่าวตักเตือน
5.2 ทำทัณฑ์บน
5.3 ตัดคะแนนความประพฤติ
5.4 กิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ข้อ 6 ห้ามลงโทษนักเรียน และนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง
หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียน
หรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย
การลงโทษนักเรียน
หรือนักศึกษาให้เป็นไป เพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียน
หรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด และกลับประพฤติตนใน ทางที่ดีต่อไป
ให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา
หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษามอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษนักเรียน
นักศึกษา
ข้อ 7 การว่ากล่าวตักเตือนใช้ในกรณีนักเรียน หรือนักศึกษากระทำความผิด
ไม่ร้ายแรง
ข้อ 8 การทำทัณฑ์บนใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม
กับสภาพนักเรียนหรือนักศึกษา ตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียน และนักศึกษา
หรือได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนแล้ว แต่ยังไม่เข็ดหลาบ
การทำทัณฑ์บนให้ทำเป็นหนังสือ
และเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บนไว้ด้วย
ข้อ 9 การตัดคะแนนความประพฤติ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการ
ตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนด
และให้ทำบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ 10 ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ในกรณีที่นักเรียน
และนักศึกษากระทำความผิดที่สมควร ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
ข้อ 11 ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และ
ให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
7.
ให้นักศึกษาสะท้อนความคิดการใช้ เว็บบล็อก (weblog) ในการนำมาใช้จัดการเรียนการสอนวิชานี้ พอสังเขป
ตอบ จากการที่ข้าพเจ้าได้ใช้เว็บบล็อก (weblog)
ในการจัดการเรียนการสอนวิชานี้ ข้าพเจ้าคิดว่า การเรียนรู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์
เป็นการเรียนการเรียนรู้ที่สะดวกสบาย เหมาะแก่การเรียนของนักศึกษาสมัยใหม่
อีกทั้งยังช่วยบันทึกการทำงานต่างๆ ของผู้เรียนโดยไม่ต้องใช้สมุดในการเรียน
เพราะบางครั้งการใช้สมุดก็ไม่สามารถที่จะทำให้นักศึกษามีการกระตุ้นในการอยากที่จะศึกษาเล่าเรียน
การใช้เว็บบล็อกในการศึกษา ถือเป็นการดีมาก ผลงานต่างๆ
ที่เราได้ทำไว้ก็สามารถที่จะเก็บรวบรวมและเผยแพร่ให้กับผู้ที่สนใจในเรื่องที่เรากำลังศึกษาได้อย่างเป็นหมวดหมู่และถูกระเบียบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น